บางทีแบบฟอร์ม 246-2 ก็เป็นอะไรที่เกินจะคาดเดา
กติกาตลาดให้แจ้งภายใน 3 วันทำการ หลังจากวันที่มีการซื้อหรือขาย คร่อม trigger point
ปกติเรามักจะพบเห็นร่องรอยพี่เจ้าหรือรายใหญ่ได้ก่อนการแจ้ง 246-2 อยู่เหมือนกัน
ผ่านทางไหนนะหรือ ก็ผ่านทางกระดาน Big Lot นี่ไง
ปกติทุกสิ้นวัน กลต.จะมีการแจ้งสรุปรายการ Big Lot ว่าแต่เคยดูกันหรือเปล่าน๊า
พอเราเห็นรายการบิกลอตไหนที่มีนัยในเชิงจำนวนเมื่อเทียบตามสัดส่วนหุ้นทั้งหมดแล้ว
ตามปกติ หลายๆ เคสเราก็นั่งเฝ้ารอเลยว่า อีก 3 วันทำการ
เราจะได้รู้กันว่า พี่คนไหนจากเราไป และพี่คนไหนเข้ามารับช่วงต่อ
อย่างเช่น BIG LOT เมื่อวันที่ 2 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา
เราเห็นการแจ้งซื้อขายบิกลอตหุ้น FER จำนวน 250 ล้านหุ้น (ราว 10%)
โดยเกิดเป็นรายการซื้อขายรวมทั้งสิ้น 8 transactions ที่ราคาเฉลี่ย 0.60 บาท
ถ้าเป็นปกตินะ ก็จะเงียบๆ ไปไม่มีอะไร ถ้าไม่แจ้ง 246-2 ก็เงียบหายไปไม่มีใครติดตามทวงถาม
แต่…เคสนี้แปลกดี เพราะแค่ตกเย็นสิ้นวัน CEO ของบริษัทก็ส่งจม.แจ้งตลาดทันทีว่า
อันตัวเรานั้นยังไม่ทราบเช่นกันว่า รายใหญ่คนใดซื้อขาย
เดี๋ยวทราบเมื่อไหร่จะรีบแจ้งตลาดอีกที แต่จนบัดนี้ยังไม่มีการแจ้งเข้ามาเลยนะ ว่าอะไรยังไง
เป็นไปได้หรือไม่ว่า ทุกคนเลือกที่จะเงียบให้โลกลืมไปเองว่า เคยมีบิกลอตถึง 10%
ถ้าจะไม่มีการเคลื่อนไหวแบบข้าม trigger point จากการบิกลอตครั้งนี้ได้หรือเปล่า ?????
จริงๆ มันก็เป็นไปได้ แต่ตรงนี้เดี๋ยวค่อยว่ากันทีหลัง
โลกนี้มันก็ไม่ได้ยากอะไร ถ้าจะตรวจสอบ ถ้าคิดจะทำน๋ะ
โดยเฉพาะในกรณีที่เป็นกรรมการบริษัทเข้าดำเนินการตรวจสอบเอง
เพราะกรรมการบริษัทมีอำนาจขอปิดสมุดทะเบียนเพื่อตรวจสอบรายชื่อผู้ถือหุ้นได้อยู่แล้ว
ใช้เวลาดำเนินการแค่ 3 วันทำการก็จะสามารถทราบได้เลยว่า มีใครเข้ามาถือหุ้นบริษัทมากน้อยเท่าไหร่
แต่….จนบัดนี้ผ่านไปกว่าครึ่งเดือน ยังไม่มีการแจ้งใดๆ จากบริษัท
และ กลต.เองก็ไม่ได้ทำอะไรเช่นกัน เผลอๆ ไม่รู้ด้วยว่ามีการเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงผู้ถือหุ้นถึง 10%
เรามาลองสมมติความเป็นไปได้ของเหตุการณ์บิกลอตนี้ดูกันดีกว่า
จากปิดสมุดทะเบียนเมื่อเดือนมีนาคมปีที่แล้ว
FER มีการเคลื่อนไหวที่แจ้งตลาดอย่างเป็นทางการเกิดขึ้นแค่ 2 ครั้ง
คือ การขายหุ้นทั้งหมดออกไปเกือบทั้งหมดของผู้ถือหุ้นลำดับที่ 2 (เหลือถือหุ้นเพียงแค่ 25 ล้านหุ้น)
กับการแจ้งการได้หุ้นมาจากการแปลงสภาพ FER-W3 เป็นหุ้นแม่ของผู้ถือหุ้นรายใหม่หนึ่งท่าน
ดังนั้น จาก 8 Transactions ที่เกิดขึ้นในการบิกลอตเมื่อวันที่ 2 กุมภาพันธ์ มีความเป็นไปได้อะไรบ้าง ?
ความเป็นไปได้แบบที่ 1 คือ ผู้ถือหุ้นอันดับ 1 ซึ่งเดิมถืออยู่ 10.07% ขายหุ้นออกไป
แต่อย่าลืมนะว่า …หากจะขายทั้งหมดยังไม่ครบตรงตามจำนวนบิกลอต ที่แจ้งเข้ามาทั้งสิ้น 250 ล้านหุ้น
เว้นแต่ว่า ถ้าผู้ถือหุ้นอันดับ 1 และ 2 รวมกันขายจะได้ตัวเลขที่เข้าข่ายทำดีลนี้ได้ทันที
โดยกรณีนี้หมายความว่า ผู้รับซื้อหุ้นไป มีอย่างน้อย 8 คน จึงเกิดเป็น 8 transactions
(แต่ก็เป็นไปได้เช่นกัน ที่ผู้รับซื้อมีไม่ถึง 8 คน แต่ผู้ขายแบ่งรอบตัดขายเป็น 8 ครั้งเอง แต่ก็มองว่ายากเคสนี้)
ซึ่งหากเป็นเคสนี้ ผู้ถือหุ้นอันดับ 1 มีหน้าที่ต้องรายงานแบบ 246-2
(ขณะที่ผู้ถือหุ้นอันดับ 2 ไม่ต้องรายงานแล้วเพราะไม่เข้าเกณฑ์)
หากเป็นเคสนี้จริง … มีการหลบเลี่ยงหรือลืมหลงลืมไม่แจ้ง อย่างใดอย่างหนึ่ง
แต่ที่น่าสนใจคือ พี่เบอร์ 1 รอบตอนซื้อติด 10% พี่เค้าก็ไม่ได้แจ้งแบบ 246-2 ด้วยนะเออ
สงสัยไม่รู้กฎระเบียบ ไม่ก็เป็นคนขี้ลืม สักอย่างๆๆๆ นี่ล่ะน่ะ
ความเป็นไปได้แบบที่สอง คือ ผู้ถือหุ้นอันดับ 9-17 รวมตัวกันนัดขายหุ้น
(แบบว่าใกล้วันมาฆะบูชาแล้วจึงอยากขายหุ้นพร้อมเพรียงกันโดยมิได้นัดหมาย ว่าแต่มันใช่เหรอว่ะ 5555)
เพราะจำนวนที่รวมกันเป็นไซส์ที่สามารถทำให้เกิดรายการบิกลอตตรงตามจำนวน 250 ล้านหุ้นได้
หากเป็นเคสนี้ ทั้ง 9 คนนี้ไม่เข้าข่ายต้องแจ้งแบบ 246-2
ขณะที่ฝั่งคนซื้อหากมีไม่ถึง 3 ราย จะเข้าข่ายต้องแจ้งแบบ 246-2 เพราะถือครองเกิน 5%
ซึ่งเคสนี้ก็ดูจะมีความเป็นไปได้พอสมควรเช่นกัน แต่ก็ดูจะยากกว่าเคสแรกอยู่มาก จริงไหมเธอ
เพราะด้วยจำนวนที่แจ้งมามีเพียง 8 transactions ซึ่งหากจะให้จำนวนหุ้นครบจำนวน 250 ล้านหุ้น
ก็จะได้ครบถ้ามีแค่ 8 transactions ย่อมไม่ครบ เพราะควรต้องมีอย่างน้อย 9 transactions นั่นเอง
อาจมีคำถามย้อนแย้งว่า แล้วทำไมไม่คิดว่าผู้ขายอาจเป็นผู้ถือหุ้นอันดับ 3-5 รวมตัวกันขายออกไปล่ะ
เพราะ 3 ลำดับนี้ รวมกันถือครองอยู่ 300 ล้านหุ้น ก็เพียงพอต่อดีลนี้ได้เช่นกัน
ถามว่า เป็นไปได้ไหม…ก็ได้เหมือนกัน แต่น้ำหนักมันดูเบาไปนิดนึง
อย่าลืมว่า นักลงทุนทั้งสามท่านนี้เข้ามาถือหุ้นด้วยการซื้อ PP ที่ราคาหุ้นละ 1 บาท
การตัดช่องน้อยขายบิกลอตคืนที่ราคา 0.60 บาท ก็ดูไม่ค่อยจะ “ฉลาด” สักเท่าไหร่ จริงไหม ?
(แม้ว่าบางครั้งอาจเป็นไปได้ หากพวกเค้ามีการตกลงทอนเงินนอกกระดานกันในรูปแบบอื่น)
แต่สำหรับเคสนี้มองว่า ความเป็นไปได้ที่สามนี้ค่อนข้างยาก
และที่สำคัญถ้าจะเกิดขึ้นจริง เบื่อรอหุ้น ผิดหวังการลงทุนหรืออะไรก็ตาม เลยตัดสินใจยอมขายขาดทุนก็ได้
ก็น่าที่จะเคลียร์ของหมดมือ ทั้ง 300 ล้านหุ้น แทนการขายครึ่งๆ กลางๆ เก็บไว้ขยักขย่อน อีก 50 ล้านหุ้น
ดังนั้น … โดยส่วนตัวมองว่าควรเป็นเคสแรกมากที่สุด และถ้าใช่ ! ควรมีการแจ้งแบบ 246-2
ซึ่งก็น่าแปลกใจที่จนบัดนี้ CEO ของบริษัทก็ไม่ได้รายงานความคืบหน้าอะไรเกี่ยวกับบิกลอตชุดนี้
ทั้งๆ ที่แรกเริ่มเดิมทีเป็นคนแจ้งตลาดเองด้วยซ้ำ
ก็ให้รู้สึกแปลกๆ ดี ที่ลุกขึ้นมาเขี่ยขี้เถ้าเองแท้ๆ แต่กลับไม่ติดตามให้กระจ่างชัด
หรือจะน้ำท่วมปากอยู่ก็ไม่แน่ใจนัก สรุปจนถึงตอนนี้ทุกอย่างจึงยังคงเงียบงัน
= = = = =
อยากเปิดเพลง .. คุ้กกี้เสี่ยงทาย … ให้ฟังจังเลย
ประทับใจ มากๆ ครับ
ขอติดตามตอนต่อไปด้วยนะครับ
ด้วยความยินดีค่ะ